วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ป้องกัน กำจัด หนู หนู หนู วิธีที่ประหยัด ปลอดภัย และได้ผล

ใครจะคิดว่าสัตว์ตัวเล็กๆ จะทำให้เรายุ่งยากรำคาญใจ หรือแม้กระทั่งสร้างความเสียหายอย่างไม่คาดคิด ต่อทรัพย์สินและสุขภาพร่างกายของเราได้ ใช่แล้วล่ะค่ะ สัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังพูดถึงก็คือ เจ้าพวก "หนูๆ" ทั้งหลายนี่เอง ตอนนี้ไม่น่ารักละ จะมิกกี้เมาส์หรือ Tom & Jerry ไม่ชอบหนูเลย >.<


แต่เราก็ใจไม่โหดพอ ไม่อยากจะจับ ฆ่า ทำลาย (ถึงแม้ในใจจะอยากล้างบางซะให้หมด)
แต่พอเปิดกรงดักหนู เห็นตาปริบๆ ก็มือสั่นซะแล้ว งั้นก็มาหาวิธีป้องกันที่ประหยัดและได้ผลกันดีกว่า ขอไม่ต้องมาเจอะเจอหน้ากันก็แล้วกัน ป้องกันพื้นที่ในบริเวณบ้านไม่ให้หนูเข้ามาย่างกราย

พื้นที่ที่มักจะพบหนูๆ ได้บ่อยๆ ก็มักจะเป็นห้องครัว บนเพดานบ้าน หลังบ้าน โรงรถ พวกหนูๆ เนี่ยจะชอบบริเวณที่อุ่นๆ แคบๆ มืดๆ มีหลายวิธีที่จะช่วยไม่ให้หนูเข้ามาอยู่อาศัยในบ้าน หรืออย่างน้อยก็ลดโอกาสให้น้อยลง

1. จัดเก็บข้าวของรกรุงรังต่างๆ ให้เข้าที่เป็นระเบียบ อย่ากองสุมๆ ไว้ตามที่ต่างๆ แบบนั้นน่ะ หนูๆ ชอบนักเชียว

2. กำจัดขยะ เศษอาหาร ทุกวัน ก่อนนอนเอาไปทิ้งนอกบ้านให้หมด ไม่ให้มีขยะหรือเศษอาหารในบ้าน เพราะว่ามันจะเป็นอาหารของหนูๆ และแมลงสาปอีกด้วย

3. สำรวจรอบๆ บริเวณในบ้านและนอกบ้านว่าตรงไหนน่าจะเป็นรูที่หนูจะสามารถลอดผ่านได้ เช่น รูพัดลมดูดอากาศ มุ้งลวดที่ขาดเป็นรู รอยแตกที่กำแพงพื้นบ้าน เชิงชายที่มีรูระหว่างกระเบื้องกับคานซึ่งหนูจะเข้าไปบนเพดานบ้านได้ ช่องว่างเล็กๆ ระหว่างประตูกับพื้นบ้าน ฯลฯ ปิดช่องเล็กช่องน้อยเหล่านี้ให้หมด ถึงแม้มันจะดูเล็กแค่นิดเดียวมันก็สามารถลอดเข้ามาได้ (ฮึ่ม!!! >.< )

4. คำนึงถึงวัสดุที่จะปิดรูหรือช่องต่างๆ ต้องมั่นใจว่าสามารถทนต่อการกัดของหนู เพราะฟันของมันคมและกัดได้เกือบทุกอย่างอย่างที่เราคาดไม่ถึง เพราะว่าฟันของหนูมันจะยาวไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต มันจึงต้องหาอะไรแทะตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ฟันของมันยาวเกินไป
(เดี๋ยวจับเลาะฟันซะเลย - -" )

5. ทีนี้ก็หาสารเคมีแบบไม่อันตรายมาก (แต่ก็อันตรายนิดหน่อย ต้องใช้อย่างระวัง) แต่เป็นกลิ่นที่หนูไม่ชอบมาไว้ในที่ที่คาดว่าหนูชอบเดินผ่าน หรือหนูอาจจะเข้ามาถึงได้ อย่างเช่น ใต้เพดาน เปิดช่องเซอร์วิสแล้วก็เอาสารเหล่านี้โยนเข้าไปหรือฉีดพ่นเข้าไปตามจุดต่างๆ ตามแนวรั้วหลังบ้าน แนวหลังคาหลังบ้าน ตามซอกตู้ต่างๆ โดยเฉพาะในห้องครัว ในโรงรถ โดยเฉพาะในห้องเครื่องรถยนต์ (หนูกัดสายไฟในห้องเครื่องรถยนต์ เสียหายกันมานักต่อนักแล้ว) สำหรับป้องกันห้องเครื่องรถยนต์ เราต้องใส่สารเหล่านี้ไว้ในห้องเครื่องรถยนต์เลยนะคะ แล้วตอนเช้าก็อย่าลืมเอาออกด้วย สารเคมีต่างๆ ที่ราคาไม่แพงและใช้ได้ผล อย่างเช่น
- ยาฆ่าแมลงต่างๆ - ฉีดพ่นไปตามซอกหลืบ รูหนู
- พริกไทย หรือพริกป่น - โรยตามจุดที่คิดว่ามีหนูเดินผ่าน ชอบกัดแทะ หรือเห็นร่องรอยฉี่หนูหรือขี้หนู หนูมันจะเผ็ดแสบและเข็ดไปเอง
- ลูกเหม็น หรือการบูร - ถ้าเป็นลูกเหม็นก็จะใช้ได้สะดวก มีหลายขนาดด้วย ถ้าเป็นการบูรก็ต้องใส่ถุงผ้าอีกทีเพราะเป็นผงๆ แล้วก็เอาไปวางไว้ตามที่ๆ หนูชอบมา อย่างเช่นบนเพดาน ในห้องครัว ซอกตู้ รูหนู หรือในห้องเครื่องรถยนต์


6. เลี้ยงแมว วิธีนี้ก็ได้ผลอยู่ แต่ควรจะเป็นแมวไทย หนูจะไม่ชอบกลิ่นแมว และก็จะไม่มายุ่งกับเรา แต่ถ้าเลี้ยงแมวก็ต้องคอยดูแลโซฟา เฟอร์นิเจอร์จากเล็บแมวด้วยค่ะ ^^

7. วิธีขั้นเด็ดขาดขั้นปลิดชีพหนูๆ (น13 ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ) ไม่ค่อยเหมาะกับคนใจบุญใจอ่อนเท่าไหร่ ก็คือใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เช่น กรงดักหนู กาวดักหนู ยาเบื่อหนู หรือตีให้ตายทุกครั้งที่เจอหน้ากัน (เอื๊อก!! ^ ^ " ) แต่ควรคำนึงและระมัดระวังอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะยาเบื่อหนูนะคะ ระวังเด็กเล็ก หรือสัตว์เลี้ยงในบ้านด้วย

ทั้งหมดนี้แหละค่ะ ก็ลองทำกันดู i do ก็ทำไปแล้ว ข้อ 1, 2, 3, 4, 5 (ใช้ลูกเหม็น) ส่วนข้อ 6 และ 7 กำลังคิดอยู่ ^ ^ " เพื่อนๆ ก็ลองทำกันดูนะคะ ได้ผล ไม่ได้ผลยังไง หรือมีวิธีอื่นๆ แนะนำก็ช่วย post comment มาแบ่งปันความรู้กันบ้างนะคะ ^ ^

(ภาพจาก Internet ค่ะ ขอบคุณทุกแหล่งที่มา)

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตกแต่งห้องแคบยาวให้ดูกว้างและไม่ดูลึก



บ้านทาวน์โฮม ทาวเฮ้าส์ ตึกแถว หรือคอนโดบางที่ ส่วนมากจะมีลักษณะเป็นห้องยาวๆ จากด้านหน้าไปด้านหลัง และส่วนมากก็ไม่มีหน้าต่างด้านข้าง มีแต่ประตูหน้าแล้วยาวไปถึงประตูหลัง ทำให้ดูแล้วเหมือนเป็นอุโมงค์หรือรางโบว์ลิ่ง เราจะมีวิธีตกแต่งจัดวางเฟอร์นิเจอร์อย่างไรให้ห้องยาวๆ นี้ไม่ยิ่งดูยาวไปกันใหญ่ การจัดวางมีผลอย่างยิ่ง เพราะมันมีผลต่อมุมมองสายตาของเราซึ่งจะส่งผลกับสมองและความรู้สึก ที่จะทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่งสบาย หรือรู้สึกอึดอัด งั้นเรามาดูกันว่ามีวิธีอย่างไรบ้างที่จะจัดการกับห้องยาวๆ ของคุณ


1. ทางเดิน
คำนึงถึงเรื่องความสะดวกในการเดิน ไม่ว่าคุณจะจัดวาง แบ่งสัดส่วนพื้นที่อย่างไร ควรเว้นด้านใดด้านหนึ่งไว้ให้เป็นทางเดินต่อเนื่องถึงกันโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง หรือว่าต้องเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา ในกรณีที่มีการวางพรมที่มุมรับแขกหรือโต๊ะอาหาร ควรให้พรมนั้นพ้นจากทางเดิน มีที่เหลือพอสำหรับเดิน ไม่ต้องเดินเท้าหนึ่งอยู่บนพื้นเท้าหนึ่งอยู่บนพรม เพี่อให้เดินได้สะดวกและไม่ทำให้พรมสกปรกอีกด้วย

 

2. แบ่งโซน
แบ่งห้องยาวๆ ออกเป็นสัดส่วน อาจเป็นสองส่วนหรือสามส่วน เช่น เป็นห้องรักแขก-มุมทำงาน-โต๊ะทานอาหาร โดยใช้พาร์ทิชั่นสวยๆ หรือชั้นวางของ เคาท์เตอร์ โต๊ะทำงาน การใช้โซฟา L เชฟ ก็สามารถช่วยในการแบ่งโซนของห้องนั่งเล่น หรือห้องรักแขกให้ดูเป็นสัดส่วน การวางพรมต่างแบบต่างสีกันในแต่ละส่วนก็ช่วยในการจัดโซนให้ดูแยกออกจากกัน แต่อย่างที่บอกไปในข้อแรกว่าควรเว้นทางเดินไว้ให้เดินได้สะดวก เวลาวางพรมจึงควรเว้นระยะทางเดินด้านข้างไว้ให้เหมาะสม  สำหรับมุมรับแขก ถ้ามีโต๊ะกลาง เวลาจัดวางก็อย่างให้เวลาเดินแล้วต้องเดินผ่านระหว่างโซฟากับโต๊ะกลาง


3. วางเฟอร์นิเจอร์ขวางแนวยาว
ถ้าเป็นไปได้ การจัดวางโซฟาให้ขวางตัดแนวยาว จะดูดีกว่าการวางโซฟาเป็นแนวยาวขนานไปกับตัวห้อง เพราะจะยิ่งทำให้ห้องดูแคบยาวมากขึ้น ควรวางโซฟาหันหน้าเข้าหากันจะช่วยให้ห้องดูเป็นสัดส่วนและไม่ดูลึก หากส่วนที่ลึกเข้าไปเป็นประตูระเบียงหรือหน้าต่าง ควรหาเฟอร์นิเจอร์สักชิ้นมาวางไว้ เช่นเก้าอี้สวยๆ หรือชั้นวางของเตี้ยๆ เพื่อช่วยหยุดสายตาไม่ให้ห้องดูลึก ไม่อย่างนั้นห้องจะดูเหมือนยาวเข้าไปไม่มีที่สิ้นสุด


4. จัดเป็นสามเหลี่ยม
อีกวิธีที่แหวกแนว คือการจัดวางโซฟาให้เฉียงเป็นสามเหลี่ยม เพื่อหยุดความดูยาวของห้อง

5. ใช้ชุดเก้าอี้แทนโซฟายาว
สำหรับมุมรับแขก ถ้าใช้ชุดเก้าอี้มาจัดวางหันหน้าเข้าหากัน แทนการใช้โซฟายาว ก็จะทำให้ห้องดูไม่ยาว และดูกว้างขึ้น

6. ใช้โต๊ะทรงกลม
ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะกลางตรงมุมรับแขก หรือโต๊ะทานอาหาร ถ้าใช้ทรงกลมก็จะสามารถช่วยเบรกความยาว ทำให้ห้องดูไม่เป็นเส้นแข็ง และดูกว้างขึ้น

7. ใช้ผนังให้เป็นประโยชน์
เนื่องจากห้องแคบยาว ต้องวางเฟอร์นิเจอร์ แล้วยังต้องเว้นทางเดินอีก ควรใช้ผนังให้เป็นประโยชน์ด้วยการติดชั้นวางของบนผนังแทนชั้นที่ตั้งบนพื้น เพื่อจะได้มีเนื้อที่เหลือมากพอสำหรับจัดวางเฟอร์นิเจอร์




เป็นยังไงบ้างคะ พอจะได้ไอเดียสำหรับไปประยุกต์ใช้กับที่อยู่ของคุณกันบ้างมั้ย จัดเสร็จแล้วมาคอมเมนท์บอกกันบ้างนะคะว่าออกมาเป็นยังไง ถ่ายรูปมาให้ดูกันบ้างก็ดีนะคะ ถ้าต้องการส่งต่อข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ คนรู้จักของคุณ สามารถกดแชร์ที่ลิงค์ด้านล่างได้เลยค่ะ หวังว่าจะติดตามกันต่อไป จะสรรหาข้อมูลดีๆ มาฝากกันเรื่อยๆ นะคะ ^^

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตกแต่งเลือกสีอย่างไรให้เข้ากัน

สีมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในบ้านที่เราอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นผนัง วอลล์เปเปอร์ เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งต่างๆ ที่เรากำหนดสีและจัดวางไว้ เรามารู้จักอิทธิพลของสีต่ออารมณ์จากสีต่างๆ กัน

สีแบ่งเป็น กลุ่มสีโทนเย็น เช่น สีเขียว น้ำเงิน ฟ้า และกลุ่มสีโทนร้อน เช่น สีแดง ม่วง ส้ม เหลือง ซึ่งแต่ละสีมีโทนสีอ่อนแก่แตกต่างกันไปอีกมากมาย

สีโทนเย็น
- สีเขียว : ให้ความรู้สึกร่มรื่น สบายตา เหมาะที่จะใช้กับห้องโถง ห้องนอน ห้องนั่งเล่น
- สีน้ำเงิน : ให้ความรู้สึกสุขุม เยือกเย็น หนักแน่น เหมาะที่จะใช้กับห้องทำงาน ห้องอ่านหนังสือ
- สีฟ้า : ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น ปลอดโปร่ง เหมาะที่จะใช้กับห้องน้ำ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น



สีโทนร้อน
- สีแดง : ให้ความรู้สึกกระตือรือร้น มีพลัง มีชีวิตชีวา เหมาะที่จะใช้กับห้องน้ำ ห้องครัว ห้องทำงาน
- สีม่วง : ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สงบ กระตุ้นแรงบันดาลใจ เหมาะที่จะใช้กับห้องอ่านหนังสือ ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น
- สีส้ม : ให้ความรู้สึกอบอุ่น สดใส สร้างสรรค์ เหมาะที่จะใช้กับห้องอาหาร ห้องนั่งเล่น ห้องอ่านหนังสือ
- สีเหลือง : ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ฉลาดรอบรู้ สดใสร่าเริง เหมาะที่จะใช้กับห้องครัว ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่น

 

 












การเลือกสีเพื่อใช้ในการตกแต่ง - ไม่จำเป็นว่าเราต้องตกแต่งด้วยการทาสีผนังเพียงอย่างเดียว เราสามารถตกแต่งด้วยผ้าม่าน เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งต่างๆ ให้เป็นโทนสีตามที่เราต้องการ โดยพิจารณาเลือกโทนสีที่เราชอบเป็นหลัก


การเลือกใช้สีต่างๆ ให้เข้ากัน ให้ลองนำสีต่างๆ มาเทียบกันดูว่าสามารถเข้ากันได้ไหม ตัวอย่างสีที่สามารถนำมาจัดวางด้วยกันได้ อย่างเช่น
- กลุ่มสี แดง ส้ม เหลือง ดำ
- กลุ่มสี เขียว เทอร์ควอยส์ น้ำเงิน โทนสีฟ้า
- กลุ่มสี ขาว ฟ้า น้ำเงิน ดำ
- เฉดสีเดียวกัน แต่เลือกโทนอ่อนแก่
- กลุ่มสีพาสเทล (สีที่มีการผสมสีขาวให้สีดูนุ่มนวล)

หรืออาจลองจัดกลุ่มสีอื่นๆ ที่เข้ากันก็ได้ค่ะ


หวังว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์นำไปปรับใช้กับบ้านของคุณกันได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วจะสรรหาข้อมูลดีๆ มาฝากกันเรื่อยๆ ค่ะ ถ้าถูกใจข้อมูลของเราช่วยกด like กดแชร์ด้านล่างเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ^^

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เลือกหมอนอิงให้เหมาะ

หมอนอิงนั้นสำคัญไฉน...

หมอนอิง ของตกแต่งชิ้นเล็กๆ ในบ้านนี่แหละ ที่จะช่วยทำให้บ้านของคุณสวยเก๋ ดูดี มีสไตล์
แถมคุณไม่ต้องลงทุนมากมายให้สิ้นเปลือง แต่กลับได้ผลการตกแต่งที่คุ้มค่า

เรานิยมตกแต่งหมอนอิงบนโซฟา หรือเตียงนอน แต่วันนี้จะพูดถึงหมอนอิงที่จะนำมาตกแต่งโซฟาในห้องนั่งเล่น หรือห้องรับแขก


เราจะมีวิธีเลือกซื้อหมอนอิงอย่างไรให้เหมาะกับเรา ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ให้ลองพิจารณาคุณสมบัติต่างๆ ต่อไปนี้ค่ะ

1. พิจารณาเรื่องความสะดวกในการทำความสะอาด - หมอนอิงมีแบบที่สามารถเปลี่ยนปลอกได้ กับแบบที่เย็บติดตาย หากที่บ้านของคุณเป็นคนสะอาดอยู่แล้วก็คงไม่ต้องกังวลเท่าไร แต่ถ้าที่บ้านมีเด็กหรือสัตว์เลี้ยงในบ้าน น่าจะพิจารณาเลือกหมอนอิงที่สามารถถอดปลอกซักทำความสะอาดได้จะดีกว่า นอกจากนั้นควรดูว่าไส้ในของหมอนอิงทำจากอะไรสามารถใส่เครื่องซักได้หรือไม่ โดยส่วนมากถ้าไส้หมอนทำจากไยสังเคราะห์จะทำความสะอาดง่ายกว่า สามารถตรวจสอบดูได้จากป้ายสินค้าที่ติดไว้


2. พิจารณาขนาดและรูปทรง - ควรเลือกหมอนอิงที่มีขนาดพอเหมาะกับขนาดโซฟาและขนาดห้อง ไม่เล็กจนวางแล้วหายไปกับโซฟา หรือไม่ใหญ่เกินไปจนล้นโซฟา ควรเลือกให้มีขนาดและรูปทรงที่พอเหมาะและเข้ากับโซฟาของคุณ คุณสามารถเลือกขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง เพื่อความมีลูกเล่นในการจัดวางมากขึ้น


3. พิจารณาโทนสีและลวดลาย - หมอนอิงควรจะเข้ากัน หรือตัดกัน กับสีสันของโซฟาและของห้อง ขึ้นอยู่กับรูปแบบและสไตล์ในการตกแต่งของคุณ คุณอาจจะเลือกคุมโทนสีของห้อง โซฟา และหมอนอิง ให้อยู่ในโทนสีเดียวกันแต่มีน้ำหนักอ่อนแก่ต่างกัน หรือคุณอาจจะให้ทุกอย่างในห้องเป็นโทนสีเดียวกัน แต่ตกแต่งให้หมอนอิงมีสีสันและลวดลายที่โดดเด่นออกมา ขึ้นอยู่กับความชอบของคุณ

4. พิจารณาเรื่องวัสดุ - ปลอกของหมอนอิงทำมาจากวัสดุหลายแบบ เช่น ผ้า ขนสัตว์ หนัง ซึ่งจะมีผลต่อผิวสัมผัสเมื่อเราใช้งาน และมีผลต่อรูปแบบการตกแต่ง ควรเน้นที่คุณภาพดี ทนทาน ดูแลทำความสะอาดง่าย มีผิวสัมผัสที่น่าจับต้อง


5. พิจารณาเรื่องราคา - ราคาของหมอนอิงขึ้นอยู่กับคุณภาพ วัสดุ ดีไซน์ และแบรนด์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าคุณพอใจที่จะจ่ายราคาสำหรับสิ่งที่คุณจะเลือกอย่างไร ขอให้พิจารณาในสิ่งที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับตัวคุณ

หมอนอิงนั้น สำคัญไม่ใช่น้อยเลยใช่มั้ยคะ ทีนี้ก็ไปหาหมอนอิงมาแต่งบ้านกันดีกว่าค่ะ ขอให้ได้หมอนที่ถูกใจในราคาที่เหมาะสม เพื่อบ้านน่าอยู่ของคุณนะคะ

อย่าลืมแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับเพื่อนของคุณด้วยการกดแชร์ข้อมูลตาม link ด้านล่างได้เลยค่ะ ^^

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กู้ซื้อบ้านให้ผ่านต้องทำยังไงบ้าง


เคยคิดว่าการยื่นกู้ซื้อบ้านเป็นเรื่องยาก แต่หลังจากผ่านประสบการณ์ยื่นกู้ซื้อบ้าน ทำให้รู้ว่าการยื่นกู้ซื้อบ้านให้ผ่าน ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

จะต้องทำยังไงบ้าง จึงจะกู้ได้ผ่าน โดยส่วนใหญ่แล้วมีน้อยคนที่มีสเตทเมนท์สมบูรณ์แบบในการยื่นกู้ แต่ถึงแม้ว่าจะติดขัดบางอย่างก็ยังพอมีสิทธิที่จะกู้ให้ผ่านได้ หากมีการวางแผนและการเตรียมตัวที่ดีในเรื่องต่างๆ ต่อไปนี้


1. พิจารณาราคาบ้าน - ข้อนี้อาจจะดูเหมือนพูดแบบกำปั้นทุบดิน แต่โดยหลักการแล้ว เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเลือกบ้านที่มีราคาอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเป็นไปได้สำหรับเรา โดยพิจารณาจากฐานเงินเดือนคงเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วต่อเดือน โดยทั่วไปคุณจะมีสิทธิกู้ได้ 40 % เช่น ถ้าคุณมีเงินเหลือเดือนละ 20,000 บาท คุณจะกู้ได้ประมาณ 2,700,000 บาท (โดยคำนวณจาก 20,000 หาร 7,200)



2. พิจารณารายได้ - ทีนี้เรามาดูว่ารายได้ของคุณหรือรายได้ของทุกคนรวมกันกรณีกู้ร่วม ต่อเดือนหักค่าใช้จ่ายและภาระหนี้ปัจจุบันทั้งหมดแล้วเหลือเท่าไหร่
- หนี้บัตรเครดิตจะถูกคิด 10% จากยอดที่ต้องชำระต่อเดือน
- ภาระการผ่อนรถหรือบัตรกดเงินสด จะถูกคิดตามจำนวนที่เรียกเก็บต่อเดือน
- หนี้สินที่เกิดจากเงินกู้สหกรณ์และ กยศ จะไม่ถูกนำมาคิด
- มีการคำนวณหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุตรของคุณอย่างเช่นค่าเทอมด้วย
- ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวกับสถาบันการเงิน เราไม่ต้องบอกให้เค้ารู้ก็ได้

*หากคุณชำระหนี้ในแต่ละเดือนล่าช้าไปบ้าง แต่ไม่ได้ติดค้างชำระจนขึ้นแบล๊คลิสต์ก็ไม่ได้มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อเท่าไหร่ แต่ดีที่สุดถ้าคุณสามารถชำระหนี้ต่างๆ ได้ตรงเวลา ก็จะเป็นเครดิตที่ดีสำหรับตัวคุณเอง แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปว่าการมีหนี้ผูกพันบางอย่างอยู่จะทำให้กู้ไม่ผ่าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าหลังจากหักลบกันแล้ว คุณมีเงินคงเหลือเท่าไหร่

หลังจากคำนวณภาระหนี้และค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือนแล้วก็ไปหักจากเงินเดือนหรือรายรับของคุณ ที่เหลือก็จะเป็นฐานเงินเดือนที่ใช้สำหรับคำนวณเพื่ออนุมัติวงเงินกู้ให้กับคุณ ถ้าเป็นการกู้ร่วมก็จะพิจารณารายได้ของทุกคนหักภาระค่าใช้จ่ายของทุกคน

ทางธนาคารจะพิจารณาตามรายได้ของคุณกับราคาบ้าน ว่ามีความสามารถที่จะผ่อนได้ต่อเดือนเท่าไหร่ แล้วพิจารณาให้สินเชื่อคุณตามสัดส่วน ซึ่งโดยส่วนมากจะได้สินเชื่ออยู่ที่ 80 - 100 % ของวงเงินกู้

                                                                             
3. บุคคลที่จะกู้ร่วม - ถ้าคุณเป็นคนมีฐานะปานกลาง ไม่ได้มีรายได้สูง โดยส่วนมากแล้วการขอกู้คนเดียวจะมีโอกาสผ่านน้อยกว่าการยื่นกู้ร่วม การยื่นกู้ร่วมก็คือคุณมีภาระผูกพันหนี้ร่วมกันมากกว่าหนึ่งคน คุณสามารถยื่นกู้ร่วมได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสามีภรรยา หรือพี่น้อง หรือญาติสนิท เพื่อหลีกเลี่ยงการมีปัญหาของเจ้าของกรรมสิทธิ์ในภายหลัง การกู้ร่วมส่วนมากจะขอกู้ร่วม 2 คน หรือ 3 คนก็ได้

4. บัญชีเงินเดือน/บัญชีรายรับ/สเตทเมนท์ - เป็นบัญชีที่คุณจะต้องถ่ายสำเนาเพื่อยื่นให้ทางแบงค์พิจารณารายได้ของคุณ ซึ่งจะต้องดูย้อนหลัง 6 เดือน ในส่วนนี้เป็นเงินเดือนที่เข้ามาประจำทุกเดือน หรือเป็นรายได้ของคุณกรณีทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งหากคุณวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะกู้ซื้อบ้าน คุณควรมีเงินเข้าในบัญชีเป็นประจำทุกเดือนเพื่อแสดงรายได้ของคุณต่อเดือน รายได้ทุกอย่างทั้งที่เป็นรายได้ประจำและรายได้เสริมควรจะนำเข้าบัญชีเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้เห็นว่ารายได้ทั้งหมดมีจำนวนเท่าไหร่ หากคุณทำล่วงหน้าไว้ก่อน เมื่อถึงเวลายื่นกู้จริงคุณก็จะมีสเตทเมนท์ที่ดีสำหรับยื่นกู้

5. พิจารณาเลือกธนาคารที่จะขอสินเชื่อ - ส่วนมากถ้าซื้อบ้านหมู่บ้านจัดสรร ทางโครงการจะมีรายชื่อธนาคารให้คุณเลือก ซึ่งก็เลือกธนาคารของทางโครงการจะสะดวกกว่า แต่หากคุณพิจารณาหาธนาคารเอง ก็ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขต่างๆ ของการให้ดอกเบี้ย และอาจจะมีโปรโมชั่นใหม่ๆ ของแต่ละธนาคารออกมา หรืออาจจะเป็นโครงการที่ออกมาจากทางรัฐบาล เช่น Soft Loan ซึ่งจะนำรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องนี้มาเสนอเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป

6. เตรียมเอกสารต่างๆ - บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส ใบเปลี่ยนชื่อ สลิปเงินเดือน จดหมายรับรองเงินเดือน สำเนาสมุดบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน (สเตทเมนท์) ของผู้ยื่นกู้และผู้กู้ร่วม


7. เงินสำรองจ่าย - คุณต้องมีเงินจำนวนหนึ่งในมืออย่างน้อยประมาณ 50,000 บาท ซึ่งคุณจะต้องใช้ในการวางเงินจองบ้าน จ่ายเงินดาวน์ในเดือนแรกๆ จ่ายค่าทำสัญญา ค่าโอนบ้าน ค่าส่วนกลาง ค่ามิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟ อื่นๆ
8. เงินสำหรับย้ายเข้าบ้านใหม่ - คุณควรมีเงินอีกอย่างน้อยประมาณ 50,000 บาท สำหรับใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นก่อนที่จะย้ายเข้าอยู่ อย่างเช่นติดตั้งแทงค์น้ำ ปั๊มน้ำ มุ้งลวด เหล็กดัด ซึ่งจำเป็นต้องทำเพื่อความสะดวก และรวมถึงค่าใช้จ่ายในการขนย้ายของเข้ามาในบ้านใหม่ คุณอาจจะดึงส่วนนี้มาจากเงินเก็บ หรืออาจจะคำนวณส่วนนี้เพิ่มเข้าไปและสอบถามทางแบงค์ว่าสามารถกู้เพิ่มเข้าไปกับการกู้ซื้อบ้านได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับวงเงินกู้และรายได้ของคุณ

ทั้งหมดนี้คงพอจะเป็นประโยชน์สำหรับเป็นไอเดียคร่าวๆ ให้คุณเห็นภาพรวมว่าคุณจะต้องวางแผนและเตรียมตัวอย่างไรบ้าง หากมีข้อผิดพลาดต้องการเสนอแนะก็สามารถคอมเมนท์มาได้ด้านล่าง หากคุณคิดว่าข้อมูลนี้มีประโยชน์สามารถกดแชร์ข้อมูลได้ตามลิงค์ด้านล่างค่ะ ^^

7 วิธีแต่งบ้านราคาประหยัด

หลายคนคงจะอยากลุกขึ้นมาทำอะไรๆ กับห้องหรือบ้านที่กำลังอยู่ให้รู้สึกสดชื่นสดใส แต่อะไรๆ ที่เราอยากจะสรรหามาตกแต่งบ้านเรามันช่างแพงไปซะหมด กระเป๋าฉีกกันพอดี สรุปแล้วไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ ดีกว่า แต่เดี๋ยวก่อน ^^ ลองดู 7 วิธีนี้ที่คุณอาจจะลองเลือกไปทำกัน เพื่อโมดิฟาย ตกแต่งบ้านของคุณแบบง่ายๆ ราคาเบาๆ

1. ทาสีผนังใหม่ - ปรับเปลี่ยนบางห้อง หรือบางมุม หรือผนังด้านหนึ่ง หรือจะเปลี่ยนสีบ้านทั้งหลัง
เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้บ้านดูสดใสขึ้น หรือเปลี่ยนอารมณ์ของห้องนั้นไปได้เลยด้วยสีที่คุณเลือก ไม่จำเป็นต้องเป็นสีเดียวกันทั้งหลัง ลองเล่นเฉดที่เข้ากันกับผนังบ้านของคุณ 
ปรึกษาที่ร้านขายสีเกี่ยวกับสีที่ควรจะใช้ วัดขนาดพื้นที่ที่ต้องการทาสีเพื่อให้เค้าคำนวณว่าจะต้องใช้สีเท่าไหร่ ถ้างบน้อยก็ทำเพียงบางส่วน ช่วยกันทำในครอบครัว แต่ถ้างบเยอะหน่อยก็จ้างช่างมาทาให้



2. ตกแต่งผนังด้วยวอลล์สติกเกอร์ - เป็นวิธีที่ประหยัดและง่ายมากในการเปลี่ยนผนังธรรมดาให้น่าสนใจมากขึ้น เลือกสติกเกอร์ที่มีลวดลายที่คุณชอบ ลองดูที่มีคุณภาพดีหรือปานกลางเพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น
 
3.  แขวนรูปติดผนัง - ถ้าจะซื้องานศิลปะมาติดคงต้องจ่ายเงินเยอะมาก แต่คุณมีรูปสวยๆ ติดผนังได้ด้วยการซื้อกรอบรูปสำเร็จมา แล้วหาโปสเตอร์สวยๆ ภาพถ่ายฝีมือตัวเอง ผ้าพิมพ์ลายสวยๆ หรืองานศิลปะของลูกมาใส่กรอบ
อีกวิธีหนึ่งคือใช้แผ่นไม้สำหรับทำกรอบรูปมาประกอบเป็นเฟรมขนาดใหญ่แล้วขึงผ้าพิมพ์ลายสวยลงไป เท่านี้คุณก็มีรูปติดผนังสวยๆ ไว้ประดับบ้านตามสไตล์ของคุณ เรียกความสดชื่นให้กับบ้านคุณ แถมยังภูมิใจอีกด้วย

4. ประดับด้วยของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ - สามารถใช้หมอนอิง แจกัน หรือเทียนสวยๆ ประดับในบางมุมของบ้านเพื่อสร้างชีวิตชีวาให้กับบ้านคุณ ราคาไม่แพงเลย

5. ประดับด้วยโคมไฟ - มีทั้งที่ราคาแพงและราคาไม่แพง ลองเดินดูในร้านขายของตกแต่งบ้านใกล้ๆ บ้านคุณ เลือกแบบที่เป็นสไตล์คุณ คุณภาพดีหรือปานกลาง ราคาไม่สูงจนเกินไป เพิ่มอะไรใหม่ๆ ให้กับบ้านของคุณ
 

6. ตกแต่งด้วยพรม - ถ้าคุณหาพรมผืนขนาดกลางถึงขนาดใหญ่วางไว้ที่โต๊ะรับแขก หรือโต๊ะอาหาร หรือในห้องนอน เป็นอีกวิธีที่สามารถเปลี่ยนบ้านให้ดูมีอะไรน่าสนใจมากขึ้นด้วยสีสันของพรมที่นำมาวาง

7. เปลียนผ้าม่าน - ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าราคาแพง เพียงแต่คุณเลือกลายของผ้าที่มีลวดลายน่าสนใจ นำไปจ้างช่างเย็บผ้าแถวบ้านช่วยเก็บริมให้ หรือจะทำเองถ้าคุณทำได้ ทำที่แขวนแบบง่ายๆ ก็สามารถติดเข้ากับรางม่านเดิม ช่วยให้บ้านดูสดใสขึ้นด้วยลายผ้าแบบที่คุณชอบ






















ถ้าชอบช่วยกด like กด share เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ แล้วจะสรรหาเคล็ดลับดีๆ มาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปค่ะ ^^

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตกแต่งบ้านพื้นที่แคบให้ดูกว้าง

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดก็ดูจะประหยัดเนื้อที่ พื้นที่ใช้สอยมีจำกัดซะเหลือเกิน แต่ถึงแม้พื้นที่จะน้อย เราก็มีวิธีในการจัดตกแต่งพื้นที่น้อยนิดให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสวยงาม ด้วยหลักการตกแต่งง่ายๆ มี 5 วิธีง่ายๆ มาแนะนำกัน

1. เลือกเฟอร์นิเจอร์ให้มีขนาดพอเหมาะพอดีกับพื้นที่ ไม่ใหญ่จนทำให้บ้านดูอึดอัดเกินไป พื้นที่ว่างในส่วนของทางเดินในแต่ละห้องควรจะมีเหลือไว้ให้เหมาะสมกับความสะดวกในการใช้งานด้วย


2. อย่าสรรหาเฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นมาใส่บ้านจนเยอะเกินความจำเป็น ใช้เฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็น น้อยชิ้น ให้พอเหมาะกับขนาดของบ้าน


3. สีสันในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผนัง วอลล์เปเปอร์ เฟอร์นิเจอร์ ถ้าเป็นสีอ่อนก็จะทำให้บ้านรู้สึกโล่งโปร่ง สบายตา ไม่อึดอัด


4. มีที่เก็บเฉพาะสำหรับทุกอย่าง ในตู้ ในลิ้นชัก หรือบนชั้นวางของ เพื่อไม่ให้ข้าวของกระจัดกระจายสุมอยู่บนโต๊ะจนทำให้บ้านดูรก และยังหาของไม่เจออีกด้วย


5. กระจกบานใหญ่ติดผนัง และแสงไฟจากโคมไฟที่วางอย่างเหมาะสม ก็สามารถช่วยให้บ้านดูกว้างขึ้น และสบายตาขึ้นอีกด้วย



อย่าลืมกดไลค์กันด้วย เราจะมีเทคนิค ดีๆ มานำเสนอเรื่อยๆ ^^